เด็กหมอกับหนุ่มทันตะ
ความหนาขอบใบหน้าฉันถูกทดสอบเป็นครั้งแรก
ก็ตอนที่ลุ้นหาคู่ให้เจ้าเพื่อนซี้นี่แหละ "ยุ้ม" เป็นเพื่อนรักมากของฉันคนหนึ่ง
นับตั้งแต่ฉันเอ็นท์ติด มหา'ลัย ที่ไกลบ้านถึงเก้าร้อยกว่ากิโลเมตร
เรื่องมันเกิดหลังจากเปิดเทอม 2 ของปี
1 ได้ไม่นาน นังยุ้มก็ไปปิ๊งหนุ่มหน้ามนเข้าคนหนึ่ง
"เค้าชื่อพี่จุ๊บ ! เป็นดาวคณะทันตะเชียวน่ะ"
นั้งยุ้มสาธยาย
"ปีอะไรน่ะ" ฉันถามอย่างสนใจ
นานทีปีหน สาวเนื้อหอมอย่างนั้งยุ้มจะปิ๊ง..ปิ๊งกับเค้าซะที
"ปี 3" อีกฝ่ายตอบตาลอย
"อยากรู้จักจัง"
เหตุมันก็เกิดตรงไอ้ความ 'อยากรู้จัก'
ของนังยุ้มนี่แหละ เนื่องด้วยไม่รู้จะให้ใครแนะนำหนุ่มปิ๊งให้ วันหนึ่ง
นังยุ้มเลยเกิดความคิดแผลง ๆ หลังจากดื่ม ชาเย็นของร้านอาเจ๊ที่ขายกาแฟในมหา'ลัย
ช่วงนั้นฉันเพิ่งล้มรถมอเตอร์ไซด์เดินกะเผลกอยู่
ประมาณเที่ยงคืนหนึ่ง นังยุ้มก็ลงมาจากห้องพักชั้นสอง
ส่งเสียงดังโหวกเหวกมาแต่ไกล
"อ้อม ไปกินกาแฟกัน" ฉันกับนังยุ้มเป็นขาประจำช่วงดึกของร้านอาเจ๊ที่อยู่ตรงข้ามหอพักที่เลือกกินเวลาเที่ยงคืน
ก็เพราะหนุ่มปิ๊งของนังยุ้มจะมาเฮฮากับเพื่อนฝูงตอนเที่ยงคืนสิบห้าทุกวัน
และด้วยความรักเพื่อนอย่างเหลือล้น ฉันก็เลยยอมกะเผลกตามนังยุ้งไป
"อ้อม ! ยุ้มคิดแผนที่จะรู้จักพี่จุ๊บได้แล้วนะ"
ฉันเกือบเป่ากาแฟพรวดออกมาจากปากหลังจากจากเจ้าเพื่อนตัวดีกระซิบแผน
"เฮ้ย !" ฉันอุทาน
ไม่ทันจะคิดอะไรมาก พี่จุ๊บก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับเพื่อนอีก
2 คน พอดี ฉันนั่งทำใจอยู่ประมาณ 10 นาที กว่าจะเดินกะเผลกตรงดิ่งไปยังโต๊ะพี่จุ๊บ
"ขอโทษนะคะ" ฉันทักขึ้น
บรรดาผู้ร่วมโต๊ะนั้นหยุดกินกันทุกคน
"พี่อยู่ทันตะใช่มั้ยคะ"
ฉันถามเสียงแหลมปรี๊ด..จะไม่ให้ผิดปกติได้อย่างไร รู้ทั้งรู้ว่าทั้งก๊กแหละหมดฟัน
พี่สาวที่นั่งอยู่คนหนึ่งพยักหน้า
ฉันได้ทีเลยรุกต่อ
"พี่รู้จักพี่จุ๊บมั๊ยคะ"
..เอ้อเฮอ.. ฉันกลั้นยิ้มแทบตาย
เจ้าตัวต้นเหตุชูมือขึ้นทันที
"พี่ฮะ พี่จุ๊บ มีอะไรหรือฮะ"
ฉันหัวเราะแหะๆ .. ก็คาดไว้แล้วนี่หว่า...
"เปล่าหรอกค่ะ เผอิญเพื่อนที่กรุงเทพฯ
เขาเคยเปรยให้ฟัง เลยอยากรู้ว่าคนไหนเท่านั้นเอง"
ฉันเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง
"แหะ...ไม่มีอะไรแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ"
ฉันเดินอ้าวกับมาที่โต๊ะทันที นังยุ้มกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
"เหมือนมีปูนซีเมนต์มาฉาบหน้าเลยว่ะ
หนืด ๆ หน้าชอบกล" ฉันพูดพลางซดกาแฟเย็นโฮกใหญ่
แต่..นางเอกของเรายังไม่จบแผนลงเท่านี้
วันรุ่งขึ้น นังยุ้มชวนฉันใส่เสื้อเชียร์ของเคณะเพื่อบอกยี่ห้อตัวเองทางอ้อมแก่พี่จุ๊บ
...ได้ผลทันตา...พี่จุ๊บเดินเข้ามาทักทันที
"น้องอยู่หมอเหรอฮะ"
"ใช่ค่ะ ปี 1" ฉันตอบพร้อมกับมองนั้งยุ้มที่ยิ้มจนแทบระเบิด
"เออ ! จริงสิ" พี่จุ๊บเริ่มเรื่อง
"ที่น้องบอกว่ารู้จักเพื่อนพี่น่ะ คนไหนเหรอ"
ฉันแทบสะอึก ดีที่นังยุ้มมันรอบคอบ
คาดคิดคำตอบไว้เรียบร้อยแล้ว ฉันเลยตอบอย่างภาคภูมิว่า
"เปล่าค่ะ อ้อมไม่ได้รู้จักเพื่อนพี่หรอก
เพื่อนอ้อมเขาเล่าให้ฟังว่าเพื่อนเขารู้จัก"
...เพื่อนคนไหนก็ไม่รู้.. ฉันเถียงในใจ
"งั้นเพื่อนน้องเรียนที่ไหนล่ะ"
พี่จุ๊บรุกต่อ
...เอาหล่ะสิ... ฉันชักเหงื่อตก เลยเาสุ่มสี่สุ่มห้าไปว่า
"วิศวะจุฬาค่ะ" ฉันตอบอย่างหวาดเสียว
...เพี้ยง... ขอให้เค้ามีเพื่อนอยู่คณะอะไราที่ว่านั่นทีเถอะ
พี่จุ๊บนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
"เออ ! คงมีใครบอกนั่นแหละ"
ฉันโล่งแทบตาย..ดีนะที่เดาคณะอินเตอร์เนชั่นแนลไว้ก่อน
หลังจากวันนั้น ฉันกับนังยุ้มก็เลยกลายเป็นเพื่อนกับพี่จุ๊บไปโดยปริยาย
ประมาณกลางเทอม 2 การสอบหฤโหดก็ทยอยกันมา
ฉันกับนั้งยุ้มเลยต้องระเห็จออกจากสอมาหาที่อ่านหนังสือตามตึกคณะต่าง ๆ
มิฉะนั้นเป็นหลับคาเตียงที่หอไปก่อนแน่...แหงซะตึกที่นังยุ้มเลือก ไหนเลยจะไม่ใช่ตึกทันตะ
"เห็นตึกก็อุ่นใจแล้วจ้ะเธอ"
นังยุ้มให้คติพจน์แก่ฉัน
จนแล้วจนรอด นังยุ้มก็ไม่เคยเจอพี่จุ๊บที่ตึกซักที
จนกระทั่งวันหนึ่ง บังเอิญที่พี่จุ๊บนัดเพื่อนจะไปเที่ยวกันข้างนอก
เลยมาจ๊ะเอ๋กับพวกเราที่ตึกโดยบังเอิญ และตั้งแต่วันนั้น พี่จุ๊บก็จะมานั่งอ่านหนังสือใต้ตึกทุกวันเช่นกัน
ส่วนนังยุ้มก็ยิ้มให้มั่ง ทักมั่งตามเรื่องตามราวของคนที่อยู่ในภาวะปิ๊ง
คืนหนึ่ง ดึกโขแล้วล่ะ ทั้งใต้ตึกคณะทันตแพทย์
เหลือแค่ ฉัน นังยุ้ม ตาหมิงเด็กวิศวะ แบละก็นังพี่จุ๊บ นั้งยุ้มก็ก่อเรื่องขึ้นมาอีก
"อ้อม ! ไปกินหมี่ไก่กัน"
นั้งยุ้มชักชวน
ฉันกำลังเซ้งเลยตอบตกลงไป แล้วเลยชวนตาหมิงไปด้วย
ตาหมิงก็สุดแสนจะเด็กดี ขอตัวอ่านหนังสือ ฉันกับนั้งยุ้มเลยตกลงจะไปกัน
2 คน
พอออกมาขึ้นรถที่หน้าตึก ตาหมิงก็เดินตามมาส่งด้วย
"ระวังหน่อยนะ ผู้หญิงแค่สองคน
เป็นห่วง" เสียงตานี่ไม่เบาเลย
ฉันกับนังยุ้มพยักหน้ารับคำหงึกหงัก
แล้วก็ขับรถออกไป มิวาย หันกลับมาวนอีกรอบ เพื่อชักชวนตาหมิงอีก ตาหมิงก็ปฎิเสธอีกนั่นแหละแล้วก็ส่งเสียงเตือนด้วยความห่วงใยจนออกนอกหน้า
ฉันเหลือบมองพี่จุ๊บแวบหนึ่ง ขณะที่ตาหมิงเตือนด้วยเสียมนุ่ม
ๆ นั้น พี่จุ๊บก็เกิดอาการ กระฟัดกระเฟียด พลิกซ้ายขาวอย่างหัวเสียทันที
"เขาโกรธเรื่องอะไรน่ะยุ้ม"
ฉันถามอีกฝ่ายหลังจากขับรถออกมาไม่นาน
"ไม่รู้สิ" นั้งยุ้มอุบอุบตอบ
อีกหลายครั้งหลายคราที่นังยุ้มแกล้งไปอี๋อ๋อกับเพื่อนชายในคณะต่อหน้าพี่จุ๊บ
ฉันก็เห็นพี่จุ๊บแสดงอาการหัวเสียทุกที
"จีลติด แล้วแหง นังยุ้ม"
ฉันแซว
แต่แล้วนั้งยุ้มก็เริ่มตีตัวออกห่างเมื่อใกล้สอบปลายภาค
ฉันเองก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะกำลังอ่านหนังสือหัวโตอยู่ ปิดเทอมผ่านไป จนเปิดเทอมใหม่
ฉันก็ได้ข่าวว่าพี่จุ๊บหันไปคบกับแฟนเก่าที่เคยเลิกร้างกันไปอีก ข่ายนี้ทำเอานังยุ้มแทบซึม
จนปลายเทอม 1 ของปี 2 นังยุ้มผู้ยังลอบมองพี่จุ๊บไม่เสื่อมคลาย ก็จำเพราะต้องตกไปเป็น
'ผู้เผอิญ' ได้ยินการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างพี่จุ๊บกับแฟน และแล้ว ทั้งคู่ก็เลิกกัน
พอรู้ว่าพี่จุ๊บโสดอีก นังยุ้ยก็เริ่มแผนการณ์กลั่นแกล้วยั่วเล่นต่อทันที
จนฉันต้องกลายเป็นผู้ต้องหาร่วมด้วย
"เฮ้ย ! อ้อม ไปเอาดอกกุหลาบแดงไปทิ้งไว้ที่ตระกร้ารถมอเตอร์ไซด์พี่จุ๊บกันเถอะ"
นังยุ้มชวน
แล้วคุณเธอก็เอากุหลาบห่อหนังสือพิมพ์ไปโนไว้ที่ตระกร้ารถฮอนด้า
ดรีม ของพี่ท่านได้แทบทุกวัน พอเซ้งเจ้าหล่อนก็เริ่มหาเรื่องอีก
"เฮ้ย ! อ้อม หมู่นี้หมั่นไส้จังว่ะ
เจอเราแล้วเค้าไม่เห็นทักเลย ไปปล่อยลมยางรถเค้ากันเถอะ !"
แล้วสาวเจ้าปัญหาก็ลากฉันไปดูต้นทางให้อย่างเป็นที่สนุกสนาน
...เออ มันร้ายจังว่ะ... ฉันชักหวาด
ๆ เพื่อน
นังยุ้มชอบกลั่นแกล้งพี่จุ๊บสารพัดเพราะถือคติ
'รักดอกจึงหยอกเล่น' จนบัดนี้ ฉันอยู่ปี 3 แล้ว เรื่องของนังยุ้มกับพี่จุ๊บก็ยังไม่ลงเอยกันซักที
คราวล่าสุด นั้งยุ้มถึงกับกล้าลงทุนไปเรียกพี่ท่านถึงหอชาย เพื่อลงมาคุยเรื่องไร้สาระแค่นั้น
จนเพื่อนพี่จุ๊บที่มาเจอเข้าแอบถามว่า
"คุยอะไรกันวะ"
พี่จุ๊บทำหน้าแหย ๆ
"ไม่มีอะไรหรอกว่ะ เรื่องมันยาว"
วันนี้ท้องฟ้าเป็นสีครามสดใส นังยุ้มกำลังคิกคัก
เล่าเรื่องที่ไปเรียกพี่จุ๊บจากหอให้หนิงฟัง หนูนิดเพื่อนยัยหนิง ที่เดินมาข้าง
ๆ ฉัน ฟังด้วยความงง ๆ จนต้องถามขึ้นว่า
"อ้อม ! ยุ้มเขาคุยอะไรน่ะ เล่าให้นิดฟังบ้างสิ"
ฉันเหลือบมองหน้านังยุ้มแล้วจงใจพูดซะลั่น
"ไม่มีอะไรหรอก เรื่องมันยาวน่ะ
!!.
นังยุ้มสะดุ้ง
"คำพูดนี้ สงวนลิขสิทธิ์จ้ะ"
เจ่าหล่อนลอยหน้าลอยตาตอบ
เฮ้อ! นี่แหละน้า ฟามรักทรหดของเด็กหมอกับหนุ่มทันตา
นิสัชชา เขียน
หนังสือกับความบ้า
รตีกำลังรื้อหนังสือต่าง ๆ ที่วางซ้อนกันอยู่มาจัดเรียงเสียใหม่
พอเห็นบทกวีเล่นหนึ่ง เธอถึงกับนั่งยิ้มคนเดียว
เธอเค่อย ๆ เปิดอย่างทะนุถนอม พบกับลายมือหวัดแกมบรรจงสั้น
ๆ ว่า
สุสันต์วันเกิด พี่ขอให้รตีมีความสุขมาก
ๆ จ๊ะ
พี่นัท
วันนั้นรตีจำได้ว่า พอเปิดห่อของขวัญเป็นหนังสือบทกวีของนักเขียนคนโปรด
เธอยิ้มอย่างดีใจ ยิ่งกว่าได้ดอกกุหลาบสีแดงหรือตุ๊กตาเสียอีก
นับตั้งแต่นั้นมา... พี่นัทมาหารตีทีไร
ก็ขยันซื้อหนังสือมาฝากเสมอ เมื่อรู้ว่าเธอชอบอ่านหนังสือ จนเดี๋ยวนี้รตีซักขี้เกียจจะอ่าน
รตีเก็บบทกวีเล่มนั้นเข้าชั้น แล้วจัดหนังสือเล่มอื่น
ๆ ให้เข้าที่ และรื้อนิตยสารเก่า ๆ มากองไว้มุมหนึ่ง เพราะพรุ่งนี้เพื่อนต่างขณะจะมาขอตัดภาพโฆษณาไปทำรายงาน
กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาแทบเหนื่อยเหมือนกัน
นึก ๆ ก็น่าเสียดาย นิตยสารเหล่านี้
เมื่อก่อนนั้นเธออุตส่าห์เก็บเงินซื้อมา ทั้งที่เพื่อนคนอื่น ๆ ต่างซื้อของใช้
เสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องแต่งตัวกัน เธอถอนใจอย่างแสนเสียดาย และรู้สึกหวงแหน..
วันรุ่งขึ้นเพื่อน ๆ มาทำรายงานกัน
แล้วเพื่อนคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า
"รตี... ขอหนังสือใหม่ได้ไหม...
อยากได้โฆษณาใหม่ ๆ น่ะ..."
รตีถึงกับอึ้งไป ถึงยังไงเพื่อนก็คือเพื่อน
เลยต้องอนุญาตอย่างจำใจ และชี้ให้เพื่อน ๆ รื้อหาเอาเอง
ชั้นร่างสุดเป็นหนังสือนิตยสารที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ
บัดนี้ถูกรื้ออย่างกระจัดกระจาย รตีได้แต่มองตาละห้อย...
"เฮ้ย.. ดูรตีทำหน้าซิ..."
"หวงเหรอ.."
คำถามของเพื่อน 2 คน ทำให้รตีได้แต่สะท้อนใจ
"เปล่า..." รตีได้แต่ตอบเสียงแผ่วย
ๆ
"เปล่า... แล้วทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้น
ไม่เต็มใจก็บอกมาเลย แหม.. กะอีแค่โฆษณา..."
น้ำเสียงแกมหมั่นไส้ของเพื่อน ทำให้รตียิ่งเศร้าใจ
...ถ้าไม่เต็มใจจะมาให้พวกเธอนั่งรื้อกันอย่างนี้หรือ...
ทำไมเพื่อน ๆ ถึงไม่เข้าใจ ไม่เกรงใจรตีบ้างเลย.. แถมยังมาพูดจากเสียดสี
ทั้งที่เธอเองก็ไม่ได้ว่าอะไรสักคำ นิตยสารเก่าไม่เอา ขอนิตยสารใหม่ ๆ
รตีก็อนุญาติแล้ว แล้วจะเอายังไงอีก.. ทำไมต้องมาพูดยังงี้ด้วย...
รตีเพียงแต่นึก ตามนิสัยของคนไม่ชอบพูด
ไม่ชอบเถียงใคร
เสียงกรรไกรตัดกระดาษดังฉับ ๆ ทำให้รู้สึกเสียวแวบขึ้นมา
เพื่อน ๆ จะรู้ไหมนะว่ามันไม่ผิดอะไรกับการตัดขั้วหัวใจของรตีเลย เธอบ้าเกินไปหรือเปล่านะ...
จู่ ๆ ก็รู้สึกแบบนี้ขึ้นมา
เมื่อเพื่อน ๆ กลับไปหมดแล้ว รตีมานั่งพลิกนิตยสาร
พอเห็นส่วนที่ถูกตัดไป ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับมีอะไรขาดไปก็ไม่รู้...
ช่างมันเถอะ...แค่โฆษณา...
รตีนึกถึงคำพูดของเพื่อน พลางยิ้มเยาะตนเอง
เย็นวันนั้น... พอพี่นัทมา รตีเลยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับความรู้สึกต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นกับหนังสือ มันเป็นความหวงแหน... เสียดาย.. ถึงแม้จะเป็นเพียงหนังสือนิตยสารก็ตามเถิด.
.แต่รตีก็รักมัน
พอพี่นัทฟังจบก็ได้เพียงแต่ยิ้ม ๆ
"แหม... รตีเพื่อนเขาตัดแค่โฆษณาไม่ได้ตัดเนื้อหาในหนังสือ..."
"ก็เวลาเปิด... มันเหมือนมีอะไรขาด
ๆ ไปนี่.. "
"น่า... ไหน ๆ ก็ให้เพื่อนไปแล้ว..."
"แต่เพื่อน ๆ ทำให้รตีเสียความรู้สึกตั้งหลายอย่าง
แล้วยิ่งตอนตัดภาพโฆษณา พี่นัทรู้ไหม... มันเหมือนกับตับขั้วหัวใจรตี..."
คราวนี้พี่นัทฟังจบก็หัวเราะอย่างขบขัน
ทำให้เธอนึกน้อยใจแกมโกรธ แม้กระทั่งคนที่เธอรักก็ยังไม่เข้าใจเธอเลย...
เธอทำตาเขียว แต่พี่นัทก็ยังไม่ยอมหยุดหัวเราะ
รตีเลยยิ่งฉุน จึงวิ่งขึ้นไปบนห้องนอนหอบหนังสือนิตยสารพวกนั้นมาโยนโครม...
ลงตรงหน้าพี่นัท ทีนี้เขากลับหัวเราะดังยิ่งกว่าเก่า
"ไปให้พ้นนะ คนบ้า... คนผี..."
รตีไล่อย่างโมโห คราวนี้เขาถึงได้เพียงแต่ยิ้ม
พลางส่ายหน้า มองรตีกระทำเหมือนเด็ก ๆ เธอยิ่งเลือดขึ้นหน้า
"บอกว่า... ไปให้พ้น เอาหนังสือพวกนี้ไปทิ้งให้ด้วย..."
พี่นัทก้มลงเก็บหนังสือมาเรียงซ้อนเป็นกอง
พลางถามด้วยน้ำเสียงกวน ๆ
"รตีจะทิ้งเหรอ... น่าเสียดายนะ..."
เธอทำเป็นเฉย หันไปมองทางอื่น
"งั้นพี่ขอก็แล้วกัน"
พูดจบ.. พี่นัทก็หอบหนังสอืขึ้นรถไป...
สักพักรตีเกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมา จึงรีบวิ่งตามออกไป แต่พี่นัทขับรถไปแล้วเธอได้แต่ร้องว่า
"เอาหนังสือของรตีคืนมานะ..."
ตั้งแต่วันนั้น... รตีต้องมานั่งคิดทบทวนกับความรู้สึกบ้า
ๆ ของตนเอง แล้วมานั่งหัวเราะกับความรู้สึกบ้า ๆ ที่เกิดขึ้น
ส่วนพี่นัทก็หายไปตั้งเกือบอาทิตย์
จะโกรธรตีหรือเปล่าหนอ... ที่เอาหนังสือไปโยนใส่หน้า คงเปล่าหรอก... วันนั้นยังหัวเราะกวนประสาทนี่...
แล้วทำไมหายเงียงไป อยากโทรศัพท์ไปถาม แต่ทิฐิส่วนหนึ่งรั้งไว้
"ไม่อยากโทรไปง้อให้เสียศักดิ์ศรี..."
เธอบ่นออกมาอย่างหัวเสีย
เสียงรถดังแล่นเข้ามาในบ้าน ทำให้หัวใจพองโต
เป็นเสียงรถพี่นัทนี่... รตีจำได้ เธอมองผ่านหน้าต่างออกไป เห็นเขาหอบกล่องอะไรมาด้วยก็ไม่รู้..
รตีรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ
"พี่นัท... วันนั้นรตีขอโทษนะ.."
"ไม่เป็นไร... พี่ไม่อยากถือเด็ก
ๆ"
"พี่นัท... อย่ามาว่ารตีเป็นเด็กนะ..."
เธอพูดเสียงแหว
"จ้า... จ้า. " ฝ่ายนั้นยิ้มอย่างอารมณ์ดี
"เปิดดูซิว่าเป็นอะไร.."
รตีเปิดกล่องออาเป็นหนังสือนิตยสารนั่นเอง
"พี่ไปหาซื้อแถวจตุจักรมาให้ใหม่
ขาดไป 4-5 เล่มมั๊ง ไว้วันหลังพี่จะไปหามาให้ใหม่"
"ไม่ต้องหรอกค่ะ.. พี่นัทเอาของเก่ามาคืนก็แล้วกัน"
เธอพูดอย่างตื้นตัน แล้วมองพี่นัทอย่างซาบซึ้งใจ
"รตีพี่ขออะไรอย่างสิ..."
คราวนี้พี่นัทพูดพลางทำหน้าเคร่งขรึม
"อะไรคะ.."
"รักพี่ให้มากกว่าหนังสือจะได้ไหม.."
โธ่... หึงกระทั่งหนังสือ....
สิรัญญิการ์ เขียน
ความรักครั้งใหม่ที่คงจะไม่เหมือนเก่า
"นา..เราเลิกคบกันเถอะนะ"
"ทำไมละพี นาทำอะไรให้พีไม่พอใจเหรอ
นาทำอะไรผิดหรือเปล่า ทำไมพีพูดอย่างนั้น"
"นาไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกนะ เพียงแต่พีคิดว่าเราสองคนเข้ากันไม่ได้"
นาวิกาเริ่มที่จะร้องไห้เมื่อได้ยินพีระพลพูดอย่างนั้น
นาวิกาและพีระพลรักกันมานาน 3 ปีแล้ว ทั้งสองเป็นคู่รักที่ใคร ๆ ต่างก็อิจฉา
แต่ไม่มีใครที่จะรู้เลยว่าความรักของทั้งคู่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใครคาดคิด
"แต่นาก็พยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับพีแล้วนะ
อะไรที่พีไม่ชอบนาก็ไม่เคยทำ ทั้งที่มันฝืนความรู้สึกของนา"
"ตอนนี้พีมีคนที่เข้าใจพีแล้วนะ
เค้าเข้าใจพีมากกว่านาอีก และพีก็รักเค้าด้วย"
"เด็กรุ่นน้องคนนั้นใช่มั้ย
คนที่นาเห็นพีไปรับไปส่งอยู่ทุกวัน แล้วความรักของเราล่ะพี ความรักที่เราร่วมสร้างกันมา
พีไม่เคยนึกถึงเลยเหรอ"
"พีไม่อยากจะพูดอะไรมากนะ เอาเป็นว่านับตั้งแต่วันนี้เราไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วนะ
พีไปหละ"
แล้วพีระพลก็เดินจากไปทิ้งให้นาวิกานั่งร้องไห้อยู่เพียงลำพัง
คืนนั้นนาวิกาก็นอนไม่หลับทั้งคืนเฝ้าคิดถึงแต่คำพูดของพีระพลกับนาวิการในตอนเย็น
รุ่งเช้านาวิกาไปวิทยาลัยด้วยใบหน้าอันซีดเซียว
และนัยน์ตาที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
"นา เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ ทำไมวันนี้หน้าซีดจังเลย
มีเรื่องอะไรหรือเปล่า"
กรกนกเพื่อนสนิทของนาวิกาถามขึ้นเมื่อนาวิกาเดินเข้ามาในห้องเรียนในตอนเช้า
"นก พีเค้าบอกเลิกนาแล้ว เมื่อวานนี้เอง"
นาวิกาพูดพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย
"นา ไม่เอานะ อย่าร้องไห้ นาอย่าไปเสียน้ำตาให้กับผู้ชายอย่างนั้นเลยนะ
ต่อไปนาอาจจะพบคนที่ดีกว่าพีก็ได้นะ นี่วันเสาร์หน้าอาจารย์เค้าจัดไปทัศนศึกษา
นาไปเที่ยวกับนกนะ นาจะได้ลืมความเศร้าเสียที นะไปเที่ยวกัน"
"นาไม่อยากไปหรอก กลัวว่าจะเที่ยวไม่สนุก"
"น่า ไปเถอะรับรองว่าสนุกแน่
ไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ นะจ๊ะ จะไม่สนุกได้งัย ไปเถอะเพื่อนห้องเราก็ไปกันเกือบหมด"
"ก็ได้ ตกลงว่านาจะไปนะ แล้วอาจารย์เค้าจะจัดไปไหนล่ะ"
"ไปชายทะเล นอนค้างคืนหนึ่ง
นาไปล้างหน้าเถอะเดี๋ยวจะได้เตรียมตัวเข้าเรียน"
การไปทัศนศึกษาก็ทำให้นาวิกาลืมความเศร้าลงไปบ้าง
ตอนกลางวันนาวิกาก็สนุกสนานกับเพื่อน ๆ แต่พอตกกลางคืนนาวิกาก็อดที่จะคิดถึงพีระพลไม่ได้
นาวิกานอนไม่หลับจึงออกมาเดินเล่นที่บริเวณชายหาด
"พี นายังคิดถึงพีอยู่นะ พีจะคิดถึงนาบ้างหรือเปล่า"
นาวิกาคิดอยู่ในใจพร้อมกับเดินไปเรื่อย
ๆ
"นา มาทำอะไรคนเดียวป่านนี้"
"รุตเหรอ นานอนไม่หลับน่ะ ก็เลยออกมาเดินเล่น
แล้วรุตล่ะมาทำอะไร"
นรุตเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับนาวิกา
นรุตนั้นหลงรักนาวิกามานานแล้ว ซึ่งนาวิกาก็รู้แต่ว่าก็ไม่สามารถที่จะมอบความรักตอบแทนให้แก่นรุตได้
เพราะหัวใจของเธอได้มอบไว้ให้กับพีระพลจนหมดสิ้น
"รุตเห็นนาเดินออกมาคนเดียว
เป็นห่วงก็เลยเดินมาเป็นเพื่อน"
"ขอบใจรุตมากนะ แต่ตอนนี้นาอยากอยู่คนเดียว"
"นา รุตรู้เรื่องที่นากับพีเลิกกันแล้วนะ
รุตเสียใจด้วยนะ"
"มันก็ไม่มีอะไรน่าเสียใจนี่นา
คนเราเมื่อเข้ากันไม่ได้ก็ต้องเลิกคบกันอยู่ดี"
"แต่รุตไม่อยากให้นาต้องเสียใจอยู่อย่างนี้
รุตอยากเห็นนาที่ร่าเริงสดใสเหมือนเมื่อก่อน"
"ตอนนี้นาก็เป็นคนเก่าแล้วนี่"
"นา...."
"มีอะไรเหรอ เรียกนากทำไม"
"รุตมีเรื่องอยากจะพูดด้วย"
"มีเรื่องอะไรก็พูดไปสิ ชักช้าน่ารำคาญจริง"
"ตอนนี้หัวใจนาก็ว่างแล้ว นารับรุตไว้ในใจนาอีกสักคนได้มั้ย"
"รุต...นารู้ว่ารุตคิดกับนายังงัย
แต่ตอนนี้นาเข็ดเสียแล้วสำหรับความรัก ถ้าหากนาจะมีความรักอีกสักครั้ง
นาจะต้งอมั่นใจว่านาจะไม่ต้องเจ็ดปวดอีก"
"รุตสัญญานะว่ารุตจะไม่ทำให้นาผิดหวัง"
"รุตแน่ใจเหรอที่พูดออกมาน่ะ"
"รุตแน่ใจแล้วรุตถึงได้พูดออกมา"
"นาจะรับรุตไว้พิจารณานะ แต่นาขอเวลาหน่อยนะ
นาจะดูว่ารุตจะให้ความมั่นใจกับนาได้แค่ไหน"
"แค่นี้รุตก็ดีใจแล้ว รุตว่าเรากลับกันเถอะ
นี่ก็ดึกมากแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีก"
แล้วนรุตและนาวิกาก็คบกันมา จนกระทั่งวันหนึ่งพีระพลก็กลับมาหานาวิกา
"นา พีขอโทษที่ตอนนั้นพีทำไม่ดีกับนา
เรากลับมาเป็นเหมือนเก่าจะได้ไหม"
"พี เมื่อก่อนนั้นนานาเคยอ้อนวอนไม่ให้พีไป
แต่พีก็ไป แล้วตอนนี้พีก็กลับมา พีเห็นนาเป็นอะไร นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา
นาเป็นคนนะพี พีไปแล้วนาก็ไม่คิดว่าพีจะกลับมาอีก พีจะกลับมาอีกทำไม"
"พีเพิ่งรู้ว่าพีรักนานะ รักกว่าใครอื่น"
"แล้วทำไมเมื่อก่อนพีไม่พูดอย่างนี้
ทำไมพีพูดว่า พีรักคนอื่นมากกว่านา"
"นาจ๋า รุตมาแล้วจ้ะ ซื้อขนมมาฝากเยอะแยะเลย"
เสียงนรุตพูด พร้อมกับเปิดประตูเข้ามา
แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้าและนาวิกาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง นรุตก็ชะงักไปทันที
"ขอโทษนะ รุตนึกว่านาอยู่คนเดียว
รุตไปก่อนนะ"
นรุตพูดพร้อมกับปิดประตู
"พี นาว่าพีกลับไปได้แล้วนะ
ตอนนี้นามีคนที่รักและเค้าก็รักนาแล้ว สำหรับเรื่องของเราก็ขอให้มันจบลงเถอะน"
"ก็ได้นา พีจะไป พีทำผิดกับนามากเลยนะ
นาถึงไม่ยอมอภัยให้พี"
"นาอภัยให้พีเสมอ แต่นากลับไปเป็นเหมือนเก่าไม่ได้
นาว่าเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันดีว่านะ"
"อือ..เป็นเพื่อนก็เป็นเพื่อน
พีกลับก่อนนะ นารีบไปอธิบายให้แฟนนาเข้าใจนะ เดี๋ยวเขาจะเข้าใจนาผิดอีก"
"ขอบใจมาก สำหรับความหวังดี
รุตเค้าไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นหรอก โชคดีนะพี"
พรุ่งนี้ก่อนนะนรุต นาวิกาจะไปอธิบายให้เข้าใจ
นาวิกาหวังว่านรุตคงจะเข้าใจ เพราะตลอดเวลาที่คบกันมา นรุตก็เป็นคนดี เป็นคนที่เข้าใจนาวิกามากที่สุด
เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นมา นาวิกาเดินไปรับ
"ฮัลโหล นาพูดค่ะ"
"นาเหรอ นี่รุตนะ เป็นยังงัยบ้างล่ะ
นาคงจะคืนดีกับพีแล้วใช่มั้ย"
"รุต อย่าเข้าใจผิดนา นากับพีไม่มีทางที่จะเหมือนเดิมได้แล้ว
ตอนนี้นาก็มีรุตอยู่แล้วทั้งคน ทำไมรุตไม่เข้าใจนาบ้าง"
"รุตขอโทษนะ รุตกลัวว่านาจะไปคืนดีกับพีเค้า"
"นากับพีเป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้นแหละ
หรือว่ารุตอยากจะให้นาคืนดีกับพี"
"รุตไม่อยากเสียนาไปนะ"
"เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เราค่อยเจอกันนะ"
"ครับ สวัสดีครับ"
นาวิกาวางหูโทรศัพท์พร้อมกับรอยยิ้มเต็มใบหน้า
ความรักครั้งใหม่นี้มันคงจะไม่ทำให้นาวิกาต้องผิดหวังและเสียใจอีก เพราะนรุตเป็นคนดีและเข้าใจนาวิกา
ความรักระหว่างนรุตและนาวิกาคงจะราบรื่น ไม่มีอุปสรรคใด ๆ มาขวางกั้นตลอดไป
หลังคาจาก เขียน
นาฎกรรมย้อนศร
จันทร์เสี้ยวแขวนดวงเหนือทิวมะพร้าว ฟ้าสีเข้มของเดือนพฤศจิกาโล่งละลิ่วสุดสายตา
ปุยเมฆบางเบาหย่อมเล็ก ๆ เคลื่อนตัวเนิบช้าจากเบื้องตะวันออกเฉียงเหนือดาวกระพริบพร่างพราวเกลื่อนฟ้า
"ผมนึกไม่ถึงว่า ชีวิตส่วนที่เหลือของผมจะมีค่ำคืนที่โรแมนติกถึงเพียงนี้"
วิทย์พูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุขคล้องแขนโอบเอววารีอย่างทะนุถนอม
"บุ๋มก็เหมือนกันค่ะ" น้ำเสียงของวารีหวานละมุนราวหยาดน้ำผึ้ง
หล่อนโน้มตัวตามแขนที่โอบกระหวัดของวิทย์
"ดูสิ..ฟ้าเหมือนจะเป็นหยานในความสุขของเรา" วิทย์แหงนเงยมองเลื่อนลอยบนฟากฟ้า
ประกายสุขสมฉาบฉายเต็มดวงตา
"บุ๋มไม่เคยเห็นฟ้าสวยอย่างนี้มานานเหลือเกิน นานจนจำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่"
หล่อนแหงนมองตามมือชี้ของวิทย์
ผืนทรายเนียนสะอาดวาดเส้นโค้งจรดละลอกคลื่นที่ซัดสาด เรือประมงสามสี่ลำทิ้งระยะห่างบนเส้นขอบฟ้า
แสงวับแวมระบายท้องน้ำยามค่ำคืนให้ดูสวยระคนเปลี่ยวเหงา
"บุ๋ม.." วิทย์ขานเสียงแผ่วเบา
"ขา..ว่าไงคะ" วารีระบายอารมณ์ฝันเต็มนัยน์ตา ผมยาวสลวยของเธอถูกลมพัดระไหล่และคอของวิทย์
"ทำไมนะช่วงเวลาของความสุขจึงสั้นเหลือเกิน แต่ห้วงเวลาแห่งความทุกข์กลับนานจนแทบทนไม่ไหว"
วิทย์กระชับวงแขนแน่นขึ้น พูดเหมือนรำพึง "ทำไมเราจึงไม่มีสิทธิ์เลือกชีวิตในเมื่อมันเป็นของเรา"
"บุ๋มเคยอ่านเจอว่า สิทธิ์ที่จะเลือกเป็นของคนทุกคน เพียงแต่เขาละเลยไม่ใช้สิทธิ์ที่ตัวมี"
วารีหัวเราะกังวานเสียงจะเยาะหยันบางสิ่งบางอย่าง
"ฮือ
" วิทย์ครางด้วยเสียงผิดหวัง "ทำไมนะ คนเราจึงต้องละเลยสิทธิ์
ถ้ามันเป็นของเราจริง ๆ"
"นั่นสิ..บุ๋มก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่า เราเป็นเจ้าของสิทธิ์จริง
ๆ หรือเปล่า"
"ถ้ามันไม่ใช่ของเรา แล้วมันเป็นของใคร"
"สังคม..สังคมกระมังคะ"
"โธ่เอ๊ย
" วิทย์ครางเสียงอ่อย "ทำไมมันต้องเป็นของสังคมด้วย"
"เพราะเราต้องอยู่ในสังคมกระมังคะ" วารีหัวเราะด้วยเสียงแปลก
ๆ ขึ้นอีก "ก็เราเป็นสัตว์สังคม"
"เราลืมมันดีกว่านะ ลืมได้ชั่วครู่ยามก็ยังดี ขณะนี้ผมไม่อยากเดินในสังคม
ผมอยากเดินกับบุ๋มสองคนเท่านั้น"
"บุ๋มก็เหมือนกันค่ะ"
ละลอกคลื่นถอยห่างออกไปช้า ๆ บนผืนทรายเรียบมีรอยเท้าสองคู่ทอดขนาน สลัวรางในความมัวหม่น
เขากับหล่อนยังคงเดินอ้อยอิ่งไกลออกไป..ไกลจากสายตากว่าสองร้อยคู่ของสังคมที่เดินทางมายังชายหาดแห่งนี้พร้อมกับเขาทั้งสอง
วิทย์กับวารีต่างมีคู่ครอง
วิทย์แต่งงานกับภาณีเมื่อ 15 ปีก่อน ลูกชายคนโตอายุ 13 กำลังเรียนในชั้นมัธยม
2 ของโรงเรียนรัฐบาลมีชื่อ ลูกชายคนเล็กอายุ 10 ขวบอยู่ชั้นประถม 5 ในโรงเรียนราษฎร์ที่คนฐานะดีนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียน
วิทย์ไม่ลังเลที่จะบอกตนเองหรือใคร ๆ ว่า เขายังรักภาณีเหมือนวันคืนในอดีต
อาจจะไม่หวือหวาฉ่ำหวานเหมือนห้วงเวลาแรกรัก แต่ความอาทรห่วงหวงพร้อมจะพิทักษ์ปกป้องยังคงท่วมท้นเต็มหัวใจ
ภาณีพร้อมเกือบทุกด้าน ดีและงามเกินกว่าปุถุชนทั่วไปจะมีได้เหมือน หล่อนมาจากตระกูลมีศักดิ์เพียบพร้อมด้วยฐานะและการศึกษา
วิทย์ไม่อาจบอกตนเองได้ลงคอว่าหล่อนบกพร่องในประเด็นใดโดยเฉพาะการยึดมั่นในกรอบระเบียบของประเพณีวัฒนธรรมแต่เขาไม่วายรู้สึกว่า
การยึดมั่นถือมั่นของหล่อนทำให้เขาไม่เป็นสุขตามวิถีปุถุชนของชีวิตคู่สมัยใหม่
ในยามที่อารมณ์เพริดกระเจิดกระเจิงด้วยไฟราคะในห้องนอนที่เขาบรรเจิดบรรจงตกแต่งอย่างโรแมนติก
ภาณีเหนียมอายเหมือนซ่อนเร้นอารมณ์ วิทย์เข้าใจว่านั่นคือบทเริ่มต้นของกุลสตรีที่ถูกบ่มเพาะมาอย่างดีภายใต้กฎระเบียบอันเข้มงวด
แต่เมื่อวันคืนผันผ่าน จากเดือนเป็นปีและหลายปีในที่สุด ภาณียังเฉื่อยเนือยเฉยชาและไม่ยินดีเท่าที่ควรในบทของเกมส์เสน่หา
วิทย์จึงอึดอัดและเก็บกด เขารู้สึกไม่สมอารมณ์ปรารถนาแทบทุกครั้งที่มีกามสันถวะกับหล่อน
ค่ำคืนแห่งความไม่สุขสมทอดยาวไม่รู้วันยุติ วิทย์หงุดหงิดและเก็บกด ถึงอย่างไรความรักยังดำรงค่อนข้างเหนียวแน่นในมโนสำนึก
แต่ความเสน่หาดูเหมือนจะคลายเกลียวกระชับลงในหัวใจ
วิทย์ปฎิเสธงานสังคมน้อยลง เขาปฏิเสธมันมาแสนนานเว้นแต่งานสำคัญยิ่งยวดที่อยู่ในสายงานความรับผิดชอบในฐานะรองผู้จัดการฝ่ายส่งออกภาคพื้นยุโรป
ลูกค้ารายใหญ่ที่บินมาทำสัญญาซื้อสินค้าล็อตละนับร้ายล้าน ย่อมเป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธสำหรับการจัดงานเลี้ยงระดับสมภาคภูมิ
ภาณีเก็บปากเสียงเหมือนลิ้นชักถูกปิด หล่อนเป็นเจ้าของบุคลิกสุขุมเยือกเย็นโดยธรรมชาติ
การไม่ปริปากบ่นว่ากระทบใด ๆ ทำให้วิทย์เริงใจเขาสรุปง่ายดายว่าหล่อนรักเขาและไว้วางใจเขาเข้มข้นเหมือนวันคืนแรกรัก
ค่ำคืนหนึ่งของการออกงานสังคม วิทย์ก็ได้รู้จักกับวารีในงานเลี้ยงแนะนำสินค้าตัวใหม่ที่บริษัทหล่อนเป็นตัวแทนจำหน่าย
วารีสวยหยาดเยิ้มในชุดราตรีคว้านอกลึกจนเนินขาวของปทุมถันโผล่ล้อแสงไฟ
หล่อนเริงรื่นด้วยอารมณ์ขัน รู้แทรกรู้เสริมเติมแต่งเรื่องคุยสารพันทิศทาง
เหนือความประทับใจคือประกายตาวิบวับที่หล่อนสบประสานอย่างมีความหมาย
วิทย์รู้สึกทุรนทุรายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากงานเลี้ยงในค่ำคืนนั้น
เขาตัดสินใจโทรถึงหล่อนในวันรุ่งขึ้นเหมือนหล่อนจะรอคอยเสียงกริ่งจากเขา
ความสนิทสนมบังเกิดรวดเร็วราวทำบุญร่วมกันจากชาติปางก่อน หล่อนแสดงให้ปรากฎว่า
ความประทับใจแรกพบที่มีต่อเขาดิ่งลึกไม่น้อยกว่าที่เขามีต่อหล่อน
วิทย์เพิ่มความถี่ในการนัดพบหล่อนอย่างรวดเร็ว จากอาทิตย์ละครั้งเป็นสองครั้ง
และไม่นานก็กลายเป็นบันทึกประจำวัน
วารีสมรสแล้วเมื่อเจ็ดปีก่อน สามีหล่อนเป็นเลขานุการของผู้ตรวจราชการประจำกระทรวงจึงต้องเดินทางตามเจ้านายไปต่างจังหวัดตลอดเวลา
วารีอยู่บ้านกับสาวใช้และสุนัขสัปดาห์ละ 3-5 วัน การเดินทางตามเจ้านายไม่มีกำหนดการแน่นอน
เขาต้องพร้อมไปเสมอแม้กระทั่งวันหยุด เสาร์ - อาทิตย์
วารีรู้สึกน้อยใจล้ำลึกในความเดียวดาย หล่อนไม่อาจทำใจแม้เขาจะพร่ำถึงความก้าวหน้าแห่งอนาคต
"ของเรา" หล่อนไม่วายรู้สึกว่า มันเป็นส่วนแบ่งอนาคตของเขาต่างหาก
การพร่ำพรรณนาของเขาคือ ความเห็นแก่ตัว
หล่อนเชื่อยิ่งขึ้นเมื่อเขาแสดงอาการใยดีหล่อนน้อยลงแม้จากกันนานถึงห้าวัน
ในค่ำคืนที่กลับถึงบ้านเขาหลับเหมือนสิ้นชีวิต ขณะหล่อนนอนลืมตาในความมืด
เขาคงจะได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่อมาอย่างเต็มคราบแน่นอน หล่อนครุ่นคิดคืนแล้วคืนเล่าเขาเหินห่างผัสสะที่เคยมี
ตั้งแต่ถากผิดเปลือกจนถึงแอ่งลึกล้ำในตัวหล่อน เขาอ้างได้อย่างไรว่า ระโหยโรยแรงจากการตะลุยไปบนถนนของชนบทกันดาร
แม้กายจะเหนื่อยล้าปานใด แต่ใจเล่า ใจของเขาสิ้นเสน่หาหล่อน หรือได้รับสิ่งทดแทนเต็มคราบจนมิปรารถนาอีก
วารีทนไม่ไหวที่จะกับขังตัวเองในรั้วคับแคบของบ้าน หล่อนเริ่มออกงานสังคม
ไม่นานหลังการเริ่มต้น มือที่มองไม่เห็นก็ผลักหล่อนเข้าไปประสานตาวิบวับกับวิทย์ในงานเลี้ยง
"ผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก" วิทย์พูดอย่างเพ้อฝัน "ผมอยากให้คืนนี้ทอดยาวไม่รู้จบ"
"วัยรุ่นจัง" วารีหยิกเบา ๆ ที่แขนเขา "เราต่างมีหน้าที่"
หล่อนพูดเสียงเข้มเหมือนจะเตือนสติตนเอง
"โธ่เอ๊ย
." วิทย์ครางเสียงอ่อย "นาทีนี้ทำไมต้องนึกถึงหน้าที่ด้วย
เราทำหน้าที่ปีหนึ่งตั้งสามร้อยกว่าวันยังไม่มากพออีกเหรอ"
"พูดแค่นี้ทำเป็นใจน้อย" วารีสอดมือประสานมือแล้วบีบกระชับ "บุ๋มก็อยากให้โลกหยุดหมุน
เพื่อที่เราจะได้อยู่ด้วยกันจนเบื่อ"
"คงไม่มีวันเบื่อ"
"ทำเป็นปากหวาน"
"ไม่พูดก็ได้" เขากระหวัดแขนรอบคอหล่อนอย่างรวดเร็วแล้วประพรมจูบอย่างกระหายไปทั้งหน้าและลำคอ
วารีดิ้นขลุกขลักพลางกรอกตาสำรวจไปทั่วทิศ เมื่อแน่ใจว่า บนชายหาดที่ทอดยาว
มีเพียยงคลื่นซัดสาดและแสงวิบวับของเรือประมงที่เส้นขอบฟ้า หล่อนจึงค่อย
ๆ เลื่อนมือโอบกระหวัดรอบคอเขาพร้อมสนองรสจูบอย่างดื่มด่ำซ่านเสียว
การสัมมนาสิ้นสุดลงแล้วในเย็นวันนี้ งานเลี้ยงอำลาในห้องหรูของโรงแรมก็คงใกล้เวลาเลิกลา
ดึกมาแล้ว ลมโหมแรงจนผมที่เคลียไหล่ของวารีสบัดระบ่าวิทย์ พรุ่งนี้คือวันกลับ
เขาโอบเอวหล่อนกระชับแน่นเข้าแล้วพลัดคลายออกใจวูบหายเมื่อนึกถึงบทบาทและตำแหน่งที่รออยู่เบื้องหน้า
ตำแหน่งรองผู้จัดการบริษัทส่งออกสิ่งทอที่กำลังถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดจากบริษัทคู่แข่ง
แรงกดดันมหาศาลจึงรอการตัดสินใจในแฟ้มเอกสาร เขาคงจะต้องออกแรงสะสางงานที่คั่งค้างทันทีที่กลับถึงกรุงเทพฯ
วิทย์แวบนึกถึงครอบครัว เขาพยายามหักเหความคิดไม่ให้หวนกลับบ้านตลอดเวลาสองวันสองคืนที่เมืองชายทะเลแห่งนี้
การสัมมนาเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ปรารถนาแท้จริงคือการพักผ่อนและสำเริงสำราญอารมณ์กับวารี
- ผู้หญิงที่สวยไปทุกหลืบสรีระ ยามที่หล่อนเปลือยอารมณ์เสน่หานั้นเขาสำลักความสุขสมจนแทบดิ้นแดยัน
ภาณี..หล่อนคงผิดหวังที่สุดในชีวิต หากล่วงรู้ถึงบทบาทในฐานะสามีของเธอและพ่อของลูก
มันเบี่ยงเบนตกฟากไกลสุดกู่ ผิดทั้งกฎหมาย ประเพณีและศีลธรรม วิทย์พยายามลบดภาพลูกเมียที่ถาโถมเข้าสถิตย์ในจิตสำนึกออกแต่คราวนี้มันดื้อดึง
พยายามอย่างไรมันก็ไม่ยอมละวางหนีหาย
"กำลังคิดอะไรหรือคะ" วารีถามเสียงนุ่มละมุน "เห้นคุณเงียบไปนาน"
"โอ๊ะเปล่า
" วิทย์รีบปฏิเสธด้วยท่าทางเขิน ๆ "ผมกำลังคิดว่าพรุ่งนี้เราก็จะต้องไปจากที่แห่งนี้แล้ว
บุ๋มก็ต้องทำหน้าที่ของบุ๋ม ผมก็ต้องทำหน้าที่ของผม"
"ตัด..ตัด.." วารีร้องเสียงดัง "บุ๋มขออนุญาตเป็นผู้กำกับหัวใจของคุณ
มันกำลังเล่นนอกบทบุ๋มจึงต้องสั่งตัด ตัด
"
วิทย์หัวเราะกลบเกลื่อนร่องรอยพิรุธของจิตสำนึก เขาไม่เคยรู้สึกผิดมากมายอย่างนี้มาก่อน
การแอบปันใจให้วารีดำเนินมากว่าเดือนแล้ว แต่ห้วงเวลาของความสัมพันธ์ที่เฉไฉนอกครรลองนั้น
ทุกสิ่งยังจำกัดขอบเขตภายใต้กรอบประเพณีและกฏหมาย การล่วงละเมิดหยุดที่ปากประตูของศีลข้อสาม
เมื่อกำแพงแห่งความถูกต้องถูกทำลายลงด้วยไฟราคะ สำนึกฝ่ายสูงและความปรารถนาฝ่ายต่ำจึงประกาศสงครามกันดุเดือด
เขารู้สึกผิดเต็มหัวใจ แต่สุขสมในเพลงกามที่เริงระบำอย่างไม่รู้เบื่อตลอดเวลาสองค่ำคืนที่ผ่านมา
ไม่ต่างกับไฟที่ไหม้ลามไม่รู้จะดับอย่างไร มันพร้อมผลาญทุกสิ่งที่ขวางหน้า
แม้กระทั่งมโนสำนึก
วิทย์ห่างเหินวารีเมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น สามีหล่อนจึงย้ายด่วนจากตำแหน่งเลขาฯ
ผู้ตรวจราชการมาประจำกรมในตำแหน่งนักวิชาการ วิทย์อดกังวลไม่ได้ว่า สามีหล่อนอาจรู้เบาะแสพฤติกรรมผิดทุกมุมมองของหล่อนกับเขา
หากเป็นเช่นนั้น เรื่องมันอาจลามยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง
วิทย์พบวารีทางโทรศัพท์เท่านั้น สิ่งที่เขาคาดไว้ในใจผิดเป้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สามีหล่อนแสดงอาการให้ปรากฎว่าเขากำลังเป็นฝ่ายค้านด้วยความจำเป็น พฤติกรรมของหล่อนน่าสงสัย
กำแพงคงมีหูประตูคงมีช่อง เสียงลือเสียงเล่าอ้างจึงระบือข้ามเขตข้ามจังหวัด
เข็มนาฬิกายังดุ่มเดินไปข้างหน้า มันวนวงเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มันสามารถเคลื่อนวันคืนให้ล่วงไปการพบกันทางโทรศัพท์ของวิทย์กับวารีค่อย
ๆ ห่างเหิน เขาป่วนอยู่กับธุรกิจที่กำลังถกคู่แข่งแย่งส่วนแบ่งตลาด ต้องเดินทางไปต่างประเทศครั้งละหลายวัน
หล่อนวุ่นวายอยู่กับการทำตัวให้สามีไว้วางใจ โดยการทำงานบ้านงานเรือน และกลับตรงเวลาหลังเลิกงาน
ไฟราคะจึงจำต้องราไว้ก่อน
สามเดือนล่วงผ่าน แม้ทุกข์ระทมเกาะกินใจด้วยกระหวัดถึงความสุขสมที่ยังโพลงโหมในหัวใจ
แต่เขาก็มิอาจพบหล่อนไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน
กรรมการผู้จัดการทำบุญเนื่องในโอกาสก่อตั้งบริษัทครบรอบสิบห้าปี กิจกรรมหนึ่งคือการชักชวนพนักงานบริจาคโลหิต
หน่วยรับบริจาคสภากาชาดมาบริการถึงที่ วิทย์ยินดีลงชื่อบริจาคเป็นคนแรก
ไม่เพียงเพื่อดึงดูดให้พนักงานชั้นรอง ๆ กระทำตาม ในส่วนลึกเขารู้สึกถึงผลบุญ
แม้จะไม่มากนัก แต่ก็อาจมีผลต่อการไถ่ถอนบาป บาปที่เขาได้ล่วงละเมิดทั้งต่อภรรยาตนเองและสามีของวารี
อย่างน้อยก็ในมโนสำนึก
วิทย์ผงะแทบเป็นลมล้มฟุบเมื่อทางสภากาชาดเชิญพบเพื่อแจ้งให้ทราบว่า เลือดเขามีเชื้อเอดส์
เอชไอวี
เหมือนดวงตะวันดับลงตรงหน้า พายุควงสว่านหมุนในหัว ปลายคางถูกทุบด้วยหมัดผีสิง..
เหงื่อโทรมหน้า ย้อนหยดชุ่มทั้งหลังไหล่ มือสั่นราวกับซุกในน้ำแข็ง หน้าเผือดซีดเหมือนเลือดไหลออกหมด
วิทย์เมาอย่างบ้าคลั่งในค่ำคืนนั้น เพื่อนหิ้วปีกส่งถึงห้องนอน ภาณีมองสามีในภาวะสิ้นสดภาพอย่างสับสนปั่นป่วน
เขาแทบไม่เคยเมากลับบ้าน งานเลี้ยงเล็กหรือใหญ่โตแค่ไหนไม่เคยทำให้เขามึนเลยเขตของการคุยสนุก
วิทย์งัวเงียตื่นเมื่อรตะวันสายโด่ง หยาดน้ำใสคลอเต็มเบ้า เขาปล่อยให้มันไหลเป็นทางเปียกเป็นวงที่หมอน
ภาณีใช้ผ้าอุ่นเช็ดใบหน้าสามีด้วยความฉงนใจและอาทร เขานอนนิ่งเหมือนไร้วิญญาณ
เมื่อหล่อนพร่ำถามถึงอาการไม่สบาย น้ำตาเขาก็หลังไหลระรัว
"อนาคตของผม อนาคตของเราไม่เหลือแล้ว" วิทย์ร้องเหมือนถูกมีดกรีดหัวใจ
"ไม่น่าเลยไม่น่าเป็นอย่างนี้เลย" เขาพร่ำรำพันอย่างน่าเวทนา
ภาณีโผกอดสามี "เกิดอะไรขึ้นคะวิทย์ บอกณีซิ ณีพร้อมรับฟังและจะช่วยวิทย์ทุกอย่าง"
"ไม่มีใครช่วยผมได้หรอก เทวดาก็ช่วยไม่ได้" เขาร้องอย่างสิ้นหวัง
"บอกณีก่อนซิคะ ณีเป็นเมียคุณ พร้อมจะเคียงข้างคุณทุกสถานการณ์"
"ณี
" เสียงเขาแผ่าโผย "ผมกำลังเป็นโรคที่รักษาไม่หาย"
เขาโอบหล่อนไว้แน่นเหมือนกลัวจะหนีหาย
"วิทย์
" ภาณีระล่ำระลักด้วยเสียงตื่นเต้น "คุณ..คุณกำลังจะบอกณีหรือคะว่าคุณติดเชื้อเอดส์"
"โธ่
" วิทย์ยกมือกุมหน้าร้องไห้โฮ
ไม่มีเสียงอื่นใด นอกจากเสียงสะอื้นของวิทย์ ภาณีซุกหน้าลงกับอกสามี ความเสียใจที่สุดในชีวิตประดังเข้ามาจุกหน้าอกและบีบหลอดลมจนตีบตน
ขากรรไกรแข็งจนไม่สามารถขยับปากเอ่ยคำใด
วิทย์พาภาณีไปตรวจเลือดที่คลีนิค "นิรนาม" ลมหายใจอันแผ่วโผยด้วยความเครียดจัดพลัดผ่อนคลาย
เมื่อผลออกมาเป็นลบ แต่หมอก็ขอให้มารับการตรวจอีกครั้งในสองเดือนหน้า เพราะร่างกายอาจยังไม่ถูกกระตุ้นให้สร้างสารขึ้นต้านเชื้อเอชไอวี
จึงอาจตรวจไม่พบ
หมอปลุกปลอบอารมณ์ของทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร แม้วิทย์และภาณีจะมีความรู้เกี่ยวกับไวรัสเอกส์พอสมควรจากโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์แต่ทั้งสองก็ยังอยากฟังคำพูดซ้ำ
ๆ จากปากของหมอ เหมือนต้องการการตอกย้ำความมั่นใจจนไม่เหลือข้อเคลือบแคลงใด
ๆ
หมอแนำนะให้เขาดูแลเอาใจใส่สุขภาพด้วยการรับประทานเฉพาะอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
งดเว้นบุหรี่ เหล้า และของกินไร้ประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะร่างกายที่แข็งแรงสามารถต้านเชื้อไวรัสมหันตภัยตัวนี้ได้ด้วยตนเอง
จิตใจมีความสัมพันธ์ชิดใกล้กับร่างกาย ส่งผลกระทบถึงกันตลอดเวลาจึงต้องทำใจยอมรับกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว
เพื่อการพร้อมเผฃิญหน้ากับศัตรูที่มองไม่เห็นตราบเท่าที่ความหวังยังไม่ทลายลง
แสงสว่างต้องโผล่ให้เห็นที่ปลายอุโมงค์สักวันหนึ่ง
คนติดเชื้อไวรัสเอดส์ไม่ได้เป็นเอดส์ทุกคน บางคนอาจจะสร้างปราการต้านมันได้เป็นสอบปีโดยไม่แสดงอาการใด
ๆ สามารถมีชีวติอยู่สังคมได้อย่างปกติสุขตามอัตภาพ
แม้มันจะเก่งกาจจนมนุษย์ยังคิดตัวยาฆ่ามันไม่ได้ในปี พ.ศ.นี้ แต่มันก็ใจเสาะมาก
เพียงทิ้งไว้ในอากาศไม่กี่นาทีมันก็ตายเอง มันขยายเผ่าพันธุ์ได้เฉพาะในเลือดและสารคัดหลั่งของมนุษย์เท่านั้น
การติดต่อจึงยากเย็นกว่าโรคทั่วไป ผู้ติดเชื้อเอดส์ สามารถร่วมกิจกรรมกับผู้อื่นได้ทุกประเภท
แม้กระทั่งการมีเพศสัมพันธ์ เพียงแต่ต้องสวมถุงยางอนามัย
ความหวังพวยพุ่งขึ้นขณะวิทย์กับภาณีเดินออกมาจากคลีนิค "นิรนาม"
วิทย์บังเกิดความรักความเห็นใจภรรยาและลูกอย่างท่วมท้นใจ ความสงสารประดังคับอก
ถ้าภาณีพบเชื้อเอดส์ในการตรวจเลือดครั้งที่สองเขาจะไถ่บาปด้วยวิธีใด ภรรยาที่บริสุทธิ์และแสนดีเช่นหล่อน
จะต้องมารับกรรมที่ตนไม่มีส่วนรู้เห็นเช่นนั้นหรือ
วารี
ภาพของวารีแล่นสวนเข้ามาในความคิด หล่อนนั่นเองคือต้นเหตุของเภทภัยอันใหญ่หลวง
วิทย์มั่นใจว่าเขาต้องรับเชื้อเอดส์มาจากหล่อนอย่างแน่นอน หลายปีแล้ว เขาไม่เคยมีกามสันถวะนอกบ้านกับใคร
นอกจากหล่อนคนเดียวเท่านั้น เชื้อเอชไอวีคงถ่ายจากตัวหล่อนเข้าสู่ตัวเขาในสองค่ำคืนของการเสพสุขอันแสนหฤหรรษ์ที่เมืองชายทะเลอย่างแน่นอน
อนิจจา
ทำไมเขาไม่ยั้งคิดบ้างว่า ผู้หญิงปล่อยตัวระเริงอารมณ์ปรารถนากับชายแปลกหน้าเช่นเขาอย่างง่าย
ๆ หล่อนก็อาจระเริงกับชายอื่นได้เช่นกัน กามตัณหานั่นเองที่ปิดตาเขาจนบอด
อนิจจาหนอ
วิทย์โอบไหล่ลูกคนโตแล้วหันมากอดคนเล็กด้วยความห่วงอาทรสุดหัวใจ "ลูกคงโกรธจนไม่ให้อภัย
ถ้ารู้ว่าพ่อติดเชื้อเอดส์จากการนอกใจแม่" เขารำพึงกับตนเอง "ต่อแต่นี้
พ่อจะเป็นพ่อที่ดีที่สุดของลูก จะเป็นผัวที่ดีที่สุดของเมีย พ่อสัญญานะลูกนะ"
"พ่อจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่กับลูกให้นานที่สุด"
โดย ตะวัน สันติภาพ
ส่งมาจากเพื่อนสุดที่ร๊ากกกก (เจ้าปุ้ย)
|